Month: กรกฎาคม 2020

พระคุณแห่งการลบล้าง

อเล็กซ่า อุปกรณ์สั่งการด้วยเสียงของอเมซอนมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ มันสามารถลบทุกอย่างที่คุณพูด ทุกอย่างที่คุณเคยบอกให้มันทำหรือหาข้อมูล แค่สั่งว่า “ลบทุกอย่างที่ฉันพูดไปในวันนี้” อเล็กซ่าจะกำจัดทุกอย่างจนเกลี้ยงเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน น่าเสียดายที่ชีวิตของเราไม่มีคุณสมบัตินี้ ทุกคำที่พูดผิด ทุกการกระทำที่ไม่ดี ทุกช่วงเวลาที่เราอยากจะลบทิ้ง เราแค่ออกคำสั่ง ความผิดพลาดทุกอย่างก็จะหายไป

แต่ยังมีข่าวดี พระเจ้าประทานการเริ่มต้นใหม่ให้เราทุกคน เพียงแต่พระองค์ทรงกระทำมากกว่าการลบล้างความผิดพลาดหรือนิสัยไม่ดีของเรา พระเจ้าประทานการทรงไถ่ การเยียวยาภายในที่เปลี่ยนแปลงให้เรากลายเป็นคนใหม่ พระองค์ตรัสว่า “จง​กลับมา​หา​เรา เพราะ​เรา​ได้​ไถ่​เจ้า​แล้ว​” (อสย.44:22) แม้อิสราเอลจะกบฎและไม่เชื่อฟัง พระเจ้ายังทรงฉวยเขาได้ด้วยพระกรุณาอันอุดม พระองค์ “ลบล้างการทรยศของเจ้าเสียเหมือนเมฆ และลบล้างบาปของเจ้าเหมือนหมอก” (ข้อ 22) พระองค์รวบรวมความละอายและความล้มเหลวทั้งหมดของพวกเขาไว้ด้วยกันและทรงชำระล้างออกไปด้วยพระคุณอันอุดมของพระองค์

พระเจ้าจะทรงทำเช่นนั้นกับความบาปและความผิดพลาดของเราเช่นกัน ไม่มีความผิดใดที่พระองค์แก้ไขไม่ได้ ไม่มีบาดแผลใดที่พระองค์รักษาไม่ได้ พระกรุณาของพระเจ้าเยียวยาและกอบกู้จิตวิญญาณที่เจ็บปวดของเรา แม้เราจะเก็บซ่อนสิ่งนั้นมานาน พระกรุณาของพระองค์ลบล้างความผิดทั้งสิ้น และชำระล้างความเสียใจทั้งหมดของเรา

ราชวงศ์ของพระเจ้า

สมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ในลำดับต้นๆของการสืบทอดบัลลังก์มักจะมีข่าวคราวให้สาธารณชนได้รับรู้มากกว่า ส่วนคนอื่นก็แทบจะถูกลืม ในราชวงศ์อังกฤษมีผู้สืบสันตติวงศ์เกือบหกสิบคน หนึ่งในนั้นคือลอร์ดเฟรเดอริก วินเซอร์ ผู้สืบสันตติวงศ์ลำดับที่สี่สิบเก้า แทนที่จะเป็นที่สนใจของใครๆ ท่านกลับใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ แม้ท่านจะทำงานเป็นนักวิเคราะห์ทางการเงิน แต่ก็ไม่ได้เป็น “ราชวงศ์ที่ทรงงาน” คือไม่ได้เป็นสมาชิกคนสำคัญที่ได้ออกงานในฐานะตัวแทนของราชวงศ์ ซึ่งจะได้รับเบี้ยหวัดเป็นค่าตอบแทน

นาธานโอรสของดาวิด (2 ซมอ.5:14) เป็นเชื้อพระวงศ์อีกคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่เหนือความสนใจ เรารู้เรื่องท่านน้อยมาก ขณะที่ลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซูในพระธรรมมัทธิวกล่าวถึงบุตรของดาวิดที่ชื่อซาโลมอน (ตามเชื้อสายของโยเซฟ ใน มธ.1:6) แต่ลำดับพงศ์พันธุ์ในพระธรรมลูกาซึ่งนักวิชาการหลายคนเชื่อว่าเป็นเชื้อสายฝ่ายมารีย์ได้กล่าวถึงนาธาน (ลก.3:31) แม้นาธานไม่ได้สืบทอดราชบัลลังก์ แต่ท่านก็มีบทบาทในอาณาจักรนิรันดร์ของพระเจ้า

ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เราเป็นสมาชิกของราชวงศ์เช่นกัน อัครทูตยอห์นบันทึกไว้ว่าพระเจ้าประทาน “สิทธิให้เราเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน.1:12) แม้เราจะไม่ได้เป็นที่สนใจของใคร แต่เราเป็นบุตรขององค์กษัตริย์ พระเจ้าทรงเห็นเราแต่ละคนสำคัญมากพอที่จะเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้และวันหนึ่งจะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ (2 ทธ.2:11-13) เช่นเดียวกับนาธานเราอาจไม่ได้สวมมงกุฎของโลกนี้ แต่เรายังคงมีบทบาทในอาณาจักรของพระเจ้า

วิธีรอคอย

ด้วยความโกรธและผิดหวังกับคริสตจักร เทรเวอร์วัย 17 ปี จึงเริ่มทำการค้นหาคำตอบ แต่สิ่งที่เขาค้นพบไม่มีอะไรทำให้เขาพึงพอใจหรือตอบคำถามของเขาได้

การค้นหานี้ทำให้เขาใกล้ชิดกับพ่อแม่มากขึ้น แต่เขาก็ยังมีปัญหากับความเป็นคริสเตียน ครั้งหนึ่งในระหว่างการพูดคุย เขากล่าวอย่างขมขื่นว่า “พระคัมภีร์เต็มไปด้วยคำสัญญาลมๆแล้งๆ”

มีชายอีกคนหนึ่งที่เผชิญกับความผิดหวังและความยากลำบากจนทำให้เกิดความสงสัย แต่ขณะที่ดาวิดหนีจากศัตรูที่ไล่ล่าชีวิตท่าน ท่านไม่ได้ตอบสนองโดยการหนีจากพระเจ้าแต่เป็นการสรรเสริญพระองค์ ท่านร้องว่า “แม้ข้าพเจ้าจะได้รับภัยสงครามข้าพเจ้ายังไว้ใจได้อยู่” (สดด.27:3)

กระนั้นบทกวีของดาวิดยังคงแฝงไว้ซึ่งความสงสัย คำร้องทูลของท่านที่ว่า “ขอทรงกรุณาและตรัสตอบข้าพระองค์” (ข้อ 7) ฟังดูเหมือนชายที่มีความกลัวและคำถาม ดาวิดคร่ำครวญว่า “ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์...ขออย่าทรงทิ้งข้าพระองค์หรือสละข้าพระองค์เสีย” (ข้อ 9)

แต่ดาวิดไม่ได้ปล่อยให้ความสงสัยหยุดท่าน แม้ในความสงสัยนั้นท่านยังประกาศว่า “ข้าพเจ้าจะเห็นพระคุณของพระเจ้าที่ในแผ่นดินของคนเป็น” (ข้อ 13) แล้วท่านก็พูดกับผู้อ่านคือ คุณ ผม และคนที่เป็นเหมือนเทรเวอร์ ว่า “จงรอคอยพระเจ้า จงเข้มแข็งและให้จิตใจของท่านกล้าหาญเถิด” (ข้อ 14)

เราจะไม่ได้พบคำตอบที่เร็วและง่ายสำหรับคำถามมากมายที่เรามี แต่เราจะได้พบเมื่อเรารอคอยพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่เราไว้วางใจได้

ในหัวใจของเรา

หลังจากเด็กชายมีปัญหาที่โรงเรียน พ่อของเขาได้สอนเขาท่องคำปฏิญาณนี้ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนว่า “ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาในเช้านี้ ผมจะไปโรงเรียนเพื่อเรียนหนังสือ... และเป็นผู้นำในแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้ผมเป็น” คำปฏิญาณนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้เป็นพ่อหวังจะช่วยลูกชายในการประพฤติตนและจัดการกับปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

การที่พ่อช่วยลูกชายให้ท่องจำคำปฏิญาณนี้ ในแง่หนึ่งเขากำลังทำเหมือนกับสิ่งที่พระเจ้าบัญชาชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารว่า “จงให้ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน...จงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน” (ฉธบ.6:6-7)

หลังจากเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี ชนชาติอิสราเอลในรุ่นถัดมากำลังจะได้เข้าไปยังดินแดนแห่งพระสัญญา พระเจ้าทรงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะทำได้สำเร็จ เว้นแต่พวกเขาจะจดจ่ออยู่ที่พระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงกำชับพวกเขาผ่านทางโมเสสให้จดจำและเชื่อฟังพระองค์ และให้สอนลูกหลานให้รู้จักและรักพระเจ้าโดยการพูดถึงพระคำของพระองค์ “เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น” (ข้อ 7)

ในทุกวันใหม่ เราเองก็ตั้งใจยอมให้พระวจนะนำจิตใจและความคิดของเรา ได้เช่นกัน ขณะที่เราใช้ชีวิตโดยสำนึกในพระคุณของพระองค์

เมื่อศักดิ์ศรีสูญไป

ผมไม่สามารถจดจำถึงความงดงามเปล่งประกายของเมลิสาลูกสาวของเราได้ ช่วงเวลาดีๆที่เราเคยดูเธอมีความสุขกับการเล่นวอลเล่ย์บอลที่โรงเรียนกำลังเลือนรางไปจากความทรงจำของผม และบางครั้งผมก็นึกไม่ออกถึงรอยยิ้มเอียงอายอย่างพึงใจที่ฉายบนใบหน้าของเธอเวลาที่ครอบครัวของเราใช้เวลาด้วยกัน การจากไปในวัยสิบเจ็ดปีได้ปิดฉากแห่งความสุขของการมีเธออยู่ด้วย

ในหนังสือเพลงคร่ำครวญ คำกล่าวของเยเรมีย์แสดงถึงความเข้าใจที่ว่าหัวใจคนเราบาดเจ็บได้ ท่านกล่าวว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญไปแล้วและความหวังในพระเจ้าก็ดับหมด” (3:18) สถานการณ์ที่เกิดกับท่านต่างจากของคุณและผมมาก ท่านประกาศเรื่องการพิพากษาของพระเจ้า และเห็นกรุงเยรูซาเล็มพ่ายแพ้ ศักดิ์ศรีสูญไปเพราะท่านรู้สึกสิ้นหวัง (ข้อ 12) โดดเดี่ยว (ข้อ 14) และถูกพระเจ้าทอดทิ้ง (ข้อ 15-20)

แต่เรื่องราวไม่ได้จบแค่นั้น มีแสงสว่างส่องเข้ามา แล้วเยเรมีย์ผู้แบกภาระหนักและอ่อนกำลังพึมพำว่า “ข้าพเจ้ามีความหวังขึ้น” (ข้อ 21) ความหวังที่เกิดจากการรู้ว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” (ข้อ 22) และนี่คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องระลึกถึงเมื่อศักดิ์ศรีสูญไป นั่นคือ “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า” (ข้อ 22-23)

แม้ในวันที่มืดมิดที่สุดของเรา ความสัตย์ซื่อยิ่งใหญ่ของพระเจ้ายังคงส่องสว่าง

แสงในความมืด

พายุรุนแรงพัดผ่านเมืองแห่งใหม่ของเราไปแล้ว เหลือไว้แต่ความชื้นและฟ้ามืดครึ้ม ฉันพาแคลลี่สุนัขของเราไปเดินเล่น การย้ายครอบครัวข้ามประเทศมาเป็นเรื่องท้าทายและน่าหนักใจมากสำหรับฉัน ด้วยความหงุดหงิดที่หลายอย่างไม่ได้ดีเหมือนที่เราหวังเอาไว้ ฉันจึงเดินช้าลงเพื่อให้แคลลี่ได้ดมหญ้า ฉันฟังเสียงน้ำในลำธารที่ไหลผ่านข้างบ้าน ดวงไฟเล็กๆกระพริบวิบวับไปตามพุ่มดอกไม้ป่าที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร มันคือหิ่งห้อย

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโอบล้อมฉันด้วยสันติสุขขณะที่ฉันมองดวงไฟที่กระพริบในความมืด ฉันคิดถึงบทเพลงสดุดีที่ดาวิดร้องว่า “​​พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงกระทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง” (ข้อ 28) ดาวิดสำแดงความเชื่อมั่นคงในการเลี้ยงดูและการปกป้องของพระเจ้าโดยประกาศว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนความมืดของท่านให้สว่าง (ข้อ 29-30) โดยพระกำลังของพระเจ้า ท่านรับมือกับทุกสิ่งได้ (ข้อ 32-35) ด้วยความวางใจว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์จะอยู่กับท่านในทุกสถานการณ์ ดาวิดสัญญาว่าจะเทิดทูนพระองค์ท่ามกลางประชาชาติและร้องสรรเสริญพระนามของพระองค์ (ข้อ 36-49)

ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับพายุที่พัดผ่านมาในชีวิตโดยไม่คาดคิด หรือเผชิญกับความสงบนิ่งหลังฝนตก สันติสุขแห่งการสถิตอยู่ด้วยเสมอของพระเจ้าส่องทางให้เราเดินไปในความมืด พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่จะทรงเป็นกำลัง ที่ลี้ภัย ผู้ค้ำจุน และเป็นพระผู้ช่วยของเราเสมอ

ความสุขล้ำค่า

ทันทีที่ได้ยินเสียงทำนองเพลงนั้น เราทั้งหกคนดีดตัวขึ้นทันที บางคนรีบสวมรองเท้า บางคนพุ่งไปที่ประตูทั้งที่เท้าเปล่า ในเวลาไม่กี่วินาที พวกเราทั้งหมดก็วิ่งกวดรถไอศกรีมไปตามทาง วันนั้นเป็นวันแรกของฤดูร้อนที่อบอุ่น ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการฉลองด้วยขนมหวานๆเย็นๆอีกแล้ว มีบางสิ่งที่เราทำไปเพียงเพราะมันทำให้เรามีความสุข ไม่ใช่ทำเพราะเป็นกฎหรือหน้าที่

คำอุปมาสองเรื่องในมัทธิว 13:44-46 นั้นเน้นย้ำประโยคที่ว่า ไปขายสิ่งสารพัดที่มีเพื่อจะแลกกับบางสิ่ง เราอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องของการเสียสละ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่จริงแล้วคำอุปมาแรกนั้นพูดถึง “ความปรีดี” ที่ทำให้ชายคนนั้นขายทุกสิ่งเพื่อไปซื้อนานั้น ความปรีดีหรือความสุขนั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ความรู้สึกผิดหรือหน้าที่

พระเยซูไม่ได้เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตเรา แต่ทรงเรียกร้องสิทธิ์เหนือชีวิตของเราทั้งหมด ชายทั้งสองคนในคำอุปมานั้น “ขายสรรพสิ่ง” (ข้อ 44) แต่ส่วนที่ดีที่สุดคือผลจากการขายทุกสิ่งทุกอย่างไปคือกำไร เราอาจคิดไม่ถึง ชีวิตคริสเตียนคือการแบกกางเขนมิใช่หรือ ใช่แล้ว แต่เมื่อเราตาย เรากลับมีชีวิต เมื่อเรายอมสละชีวิต เรากลับได้พบชีวิต เมื่อเรา “ขายสรรพสิ่ง” เราก็ได้สิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือพระเยซู ความสุขเป็นเหตุให้เราทำ แล้วจึงตอบสนองด้วยการยอมจำนน โดยที่มีรางวัลคือการได้รู้จักพระเยซู

เก็บรักษาความทรงจำ

ซูตงปอ (หรือ ซูซื่อ) เป็นกวีและนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของจีน ขณะถูกเนรเทศ ท่านจ้องมองดวงจันทร์ในคืนเต็มดวงและเขียนกลอนบรรยายความคิดถึงน้องชายว่า “เรายินดีและโศกเศร้า พบและพลัดพราก ในยามที่ดวงจันทร์ยังมีทั้งข้างขึ้นและข้างแรม ตั้งแต่ในกาลก่อนมาแล้ว ไม่มีอะไรที่คงสภาพสมบูรณ์ไปตลอด” ท่านเขียนต่อว่า “ขอให้ผู้ที่เรารักอายุยืนยาว และชื่นชมภาพอันงดงามนี้ด้วยกันแม้อยู่ห่างกันนับพันไมล์”

บทกลอนของท่านมีเนื้อหาเช่นเดียวกับหนังสือปัญญาจารย์ ผู้เขียนคือปัญญาจารย์ (1:1) สังเกตว่ามี “วาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ...วาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด” (3:4-5) โดยการเปรียบเทียบสิ่งที่ตรงข้ามกันเช่นนี้ ปัญญาจารย์และซูตงปอคงจะอยากบอกว่าสิ่งดีทั้งหลายย่อมต้องมีวาระสิ้นสุด

ซูตงปอเห็นข้างขึ้นและข้างแรมของดวงจันทร์เป็นสัญญาณที่บอกว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบตลอดไป ปัญญาจารย์เห็นเช่นกันว่าในโลกที่พระองค์ทรงสร้างนั้น พระองค์ประทานให้มีวาระต่างๆ พระเจ้าทรงควบคุมความเป็นไปทุกอย่าง และ “พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามฤดูกาลของมัน” (ข้อ 11)

ชีวิตนั้นคาดเดาไม่ได้และบางครั้งเต็มไปด้วยการพลัดพรากที่เจ็บปวด แต่เราวางใจได้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เราชื่นชมยินดีกับชีวิต และเก็บรักษาความทรงจำทั้งดีและร้ายเพราะพระเจ้าที่รักของเราทรงอยู่กับเรา

ขายหน้า

วันที่ผมขายหน้าที่สุดคือวันที่ผมต้องพูดต่อหน้าคณาจารย์ นักศึกษา และผู้มาร่วมงานครบรอบ 50 ปีของโรงเรียนพระคริสตธรรม ผมเดินไปที่ธรรมมาสพร้อมกับต้นฉบับร่างคำแถลงในมือและกวาดตามองไปยังที่ประชุมซึ่งแน่นขนัด แต่สายตาของผมไปหยุดที่คณาจารย์ที่นั่งอยู่แถวหน้า ในชุดเสื้อครุยกับใบหน้าอันเคร่งเครียด ผมสติหลุดในทันที ริมฝีปากแห้งผากและไม่ทำตามที่สมองสั่งการ ผมเริ่มประโยคแรกแบบตะกุกตะกักและพูดในสิ่งที่ไม่ได้เตรียมมา จากนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองพูดถึงไหน จึงได้แต่พลิกหน้ากระดาษคำร่างกลับไปกลับมา ในขณะที่พูดเรื่องไม่เป็นสาระที่ทำให้ทุกคนงงงวย ในที่สุดผมก็พูดจนจบ ผมค่อยๆเดินกลับไปนั่ง ตาจ้องดูที่พื้น ผมรู้สึกอยากตาย

อย่างไรก็ตาม ผมเรียนรู้ว่าความรู้สึกอับอายนี้มีข้อดีถ้าหากมันนำไปสู่ความถ่อมใจ เพราะความถ่อมใจนี้เป็นกุญแจที่เปิดหัวใจของพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม” (ยก.4:6) พระองค์ทรงเทพระคุณแก่ผู้ที่ถ่อมใจ พระเจ้าตรัสว่า “แต่นี่ต่างหากที่เราจะมอง คือเขาผู้ที่ถ่อมและสำนึกผิดในใจ และตัวสั่นเพราะคำของเรา” (อสย.66:2) เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระเจ้า พระองค์จะยกชูเราขึ้น (ยก.4:10)

ความขายหน้าและความอับอายสามารถนำเรามาหาพระเจ้าเพื่อเราจะรับการแก้ไข เมื่อเราล้มลง เราก็ล้มอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา